ปัญหารถติดอยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน แต่ในระยะเวลา 2-3 ปีมานี้เราอาจจะลืมภาพรถติดแบบเดิมๆไปบ้างเนื่องจากภาวะโควิดที่ต่างคนก็ต่างทำงานจากที่บ้าน ทำให้การจราจรดูเบาบางลงไปบ้าน แต่ในตอนนี้ที่โรงเรียนเริ่มเปิด ผู้คนเริ่มกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ รัฐบาลเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ภาวะรถติดก็กลับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมหลายๆคนยังบอกว่ากลับมาคราวนี้หนักกว่าเดิมอีกด้วย
ภาวะการจราจรเป็นปัญหาที่แก้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างพวกเรา และจะเห็นได้ว่ารากของปัญหาที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการวางแผนในภาพรวมทั้งสิ้น
การใช้รถสาธารณะก็เป็นอีกหนึ่งทางแก้ หรือระบบ Car Pool ที่เคยเป็นกระแสเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สำคัญ ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ได้
ในขณะที่ธุรกิจการผลิตและการขนส่งโลจิสติกส์กำลังจะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกตินั้นก็คือราคาพลังงานโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากภาวะสงคราม และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง หลายๆบริษัท จึงเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับระบบการใช้รถรับส่งกันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งในภาคขนส่ง ที่เริ่มมีข้อคิดเห็นว่าจะทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นได้อย่างยั่งยืน
รถรับส่งพนักงาน กุญแจสำคัญของการเดินทางอย่างยั่งยืน
ระบบรถรับส่งของประเทศไทยเริ่มเป็นที่แพร่หลายนับตั้งแต่มีบริษัท และโรงงานขนาดใหญ่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงคงหนีไม่พ้น โซนนิคมอุตสาหกรรม ที่ตอนนี้ก่อตัวเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีผู้ใช้เส้นทางสัญจรไปทำงานพร้อมๆกัน ในแต่ละวันเกิดภาวะรถติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนอยู่เสมอ การใช้รถรับส่งของบริษัทจึงมีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนในช่วงเวลาเร่งด่วนลงไปได้
แต่จากรายงานของ BOI พบว่ามีบริษัทอีกมากที่กำลังมาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย การจัดการรถรับส่งแบบเดิมๆ คงจะไม่สามารถแก้ปัญหาจำนวนรถรับส่งที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้อีกต่อไป เราต่างรู้กันดีว่าปัญหาการจราจรก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดของพนักงานและอาจจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานด้วย
และอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ การที่บริษัทยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายรถรับส่งพนักงานเพิ่มขึ้นด้วย สืบเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบัน
หลายๆบริษัทจึงเริ่มตื่นตัวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการนำเอาระบบบริหารจัดการรถรับส่งพนักงานและวางแผนเส้นทางเข้ามาช่วยเพื่อจัดสรรรถรับส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความแออัดบนท้องถนนโดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมแล้ว ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของรถรับส่งพนักงานอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งระบบที่มีประสิทธิภาพจะสามารถเพิ่มความปลอดภัยและลดความเครียดจากการเดินทางของพนักงานได้ด้วย โดยที่พนักงานจะรู้ว่าควรออกมารอรถรับส่งเมื่อใด สามารถจัดการเวลาของตัวเองได้สะดวกขึ้น เพิ่มความสุขในการเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน
ขนส่งสินค้า ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ปัจจัยสำคัญ
นอกจากระบบการขนส่งคนแล้ว ภาคธุรกิจขนส่งสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดได้เช่นเดียวกัน ประเทศไทยใช้รถขนส่งหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุกทั่วไป รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ หรือรถขนส่งแบบ 4 ล้อและรถมอเตอร์ไซค์ ลักษณะแนวทางการขนส่งของค่อนข้างหลากหลายและยืดหยุ่น โดยที่ปัจจุบันการใช้ GPS ในการตรวจติดตามเส้นทางการเดินรถถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น เพราะมีผลในด้านความปลอดภัยและการบริหารจัดการ
แต่ระบบ GPS นั้น ทำได้เพียงติดตามเส้นทางการเดินรถเท่านั้น แต่การจะแก้ไขปัญหาปริมาณรถที่หนาแน่นอย่างจริงจังนั้น ธุรกิจขนส่งจำเป็นที่จะต้องยกระดับการวางแผนการขนส่งขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้ทุกๆการเดินทาง ทุกๆออเดอร์ ได้รับการวางจัดการโดยละเอียด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่การเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลพวงมาจากที่ความนิยมของธุรกิจ E-commerce และ Food Delivery การจัดการที่ไม่เป็นระบบจะทำให้มีรถยนต์อยู่บนท้องถนนมากเกินไปส่งผลทั้งในด้านความปลอดภัยและความ
การวางแผนเส้นทางการจัดส่งสินค้าที่ดี และมีประสิทธิภาพจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้รถทุกคัน คนขับทุกคนทำงานได้อย่างเต็มที่ ลดความหนาแน่นบนท้องถนน นอกจากนั้นผู้ประกอบการเองก็จะได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในภาคขนส่งที่ลดลงด้วย
ลดภาวะการจราจรติดขัด มุ่งสู่ Green Transportation อย่างยั่งยืน
ความยั่งยืนของระบบขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของเมือง ดังจะเห็นได้จากปัญหามลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการควบคุมการใช้ยานพาหนะสาธารณะ ยานพาหนะส่วนบุคคล และระบบการขนส่ง ก็มีแต่จะทำให้สภาพแวดล้อมทั่วโลกของเรายิ่งย่ำแย่ลงไป
ดังนั้นการขยายระบบขนส่งควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อความยั่งยืนของโลก เรียกว่า การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ การขนส่งที่ยั่งยืน
ระบบของ SWAT Mobility จะช่วยได้อย่างไร
ด้วยวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการมอบความสะดวกสบายให้กับทุกคน ให้ได้เดินทางได้ไกลยิ่งขึ้น แต่ใช้ทรัพยากรให้น้อยลง
เพราะเราตระหนักรู้ว่าทรัพยากรของโลกนั้นมีอย่างจำกัด เราจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยบริหารจัดการการขนส่ง ช่วยให้ทุกการวางแผนเส้นทางตอบโจทย์ความต้องการได้มากขึ้น และเป็นไปในรูปแบบอัตโนมัติ ด้วยความสามารถของ AI เพื่อลดเวลาในการวางแผนมากกว่า 80% ลดจำนวนรถที่ใช้ในการขนส่ง และลดต้นทุนแฝง เพื่อปลดล็อคความสามารถในการดำเนินธุรกิจของลูกค้าได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว
SWAT Mobility เป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นด้านการรับส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าอัจฉริยะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นบริษัท Tech ฆtartup สัญชาติสิงคโปร์ที่ถูกยกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2021 ซึ่งจัดอันดับโดย Forbes Asia
Achieving Seamless Omnichannel Logistics with Advanced Delivery Route Optimisation
Omnichannel logistics is key to delivering seamless customer experiences across sales channels. With SWAT Mobility's advanced route planning and dispatch management solutions, businesses can optimise operations, enhance customer satisfaction, and stay competitive.
Demystifying the Benefits of Route Optimisation for Logistics Providers
Route Optimisation is complex and often challenging to explain to non-technical stakeholders. Breaking it down into four steps clarifies what it does and how it benefits Logistics Providers.
Navigating Logistics Sustainability: The Role of Route and Load Optimisation Solutions
In an interconnected world where global trade and economic progress rely heavily on the logistics industry, there's an increasing need to strike a balance between efficiency and sustainability.